E 350e นับเป็น 1 ใน 12 รุ่น ภายใต้แบรนด์ “EQ – Electric Intelligence by Mercedes-Benz” ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์อันสง่างาม ตามแบบฉบับของรถยนต์ในตระกูลอี-คลาส ซึ่งเปิดตัวทั้งหมด 3 รุ่นได้แก่ Avantgarde, Exclusive และ AMG Dynamic ซึ่งแตกต่างกันในเรื่องของการตกแต่งเท่านั้น เครื่องยนต์และช่วงล่างไม่ต่างกัน
Mercedes-Benz E 350 e AMG Dynamic มากับไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED ประกอบด้วยหลอดไฟมากถึง 84 หลอด นอกจากนี้ยังมี ระบบส่องสว่างอัจฉริยะ (ILS – Intelligent Light System), ระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย (ALS – Active Light System), ระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง (cornering light), ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Adaptive Highbeam Assist Plus) เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
Mercedes-Benz E 350 e AMG Dynamic ประกอบด้วยชุดแต่งรอบคันจาก AMG อาทิ ล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ต แบบ 5 ก้านคู่ ขนาด 19 นิ้ว กันชนหน้า หลัง และสเกิร์ตข้าง รวมถึงดิสก์เบรกหน้าแบบมีช่องระบายความร้อน และสัญลักษณ์ Mercedes-Benz บนคาลิปเปอร์ เบรกหน้า
ห้องโดยสารของ E 350 e AMG Dynamic ถือเป็นอีกส่วนที่น่าสนใจ ด้วยการออกแบบที่สวยงามและลงตัว จึงได้รับรางวัลระดับโลกมากมายเป็นเครื่องการันตี โดยเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa พิเศษด้วยการติดตั้งระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display) ให้อีกด้วย
งานภาคบันเทิงที่ขาดไม่ได้ในรถหรู ได้รับการติดตั้งระบบเสียงระดับไฮเอนด์ของ Burmester นอกจากนี้ยังมีระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad, ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ, ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay) และ Android (Android Auto) รวมถึงเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบ Amblient Light ปรับสีได้ถึง 64 สี
Mercedes-Benz E 350 e ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1,991 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200-4,000 รอบต่อนาที และกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 88 แรงม้า แรงบิดสูงสุดจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 440 นิวตันเมตร ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS) ซึ่งเมื่อนำมารวมกันจะได้แรงม้ากว่า 286 ตัวและมีแรงบิดสูงถึง 550 นิวตันเมตรเลยทีเดียว ส่งผลให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใช้เวลาเพียง 6.2 วินาทีเท่านั้น และความเร็วสูงสุดทำได้ถึง 250 กม./ชม. ซึ่งนอกจากจะแรงแล้ว แต่ก็ยังคงคอนเซ็ปต์ของความประหยัดอยู่ ด้วยการเคลมอัตราสิ้นเปลืองสูงสุดเมื่อเครื่องยนต์ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าไว้ถึง 40 – 47.62 กิโลเมตร/ลิตรเลยทีเดียว แต่จะได้เท่านี้หรือไม่ ช่วงท้ายมีคำตอบ!!!
Mercedes-Benz E 350 e เป็นรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งหลักๆแล้วก็มีการทำงานคล้ายรถไฮบริดทั่วๆไป แต่จะพิเศษก็ตรงสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ด้วยนั่นเอง ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องการชาร์จไฟนั้นจะมาว่ากันในบทความต่อไปอีกทีครับ ช่วงนี้ขออธิบายการทำงานในส่วนของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบพอสังเขปซึ่งสามารถเลือกรูปแบบการขับขี่เองได้ดังนี้
HYBRID ใช้กำลังเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยเน้นกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก โดยจะปรับเปลี่ยนการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ กับมอเตอร์ไฟฟ้า ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่ และปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นโหมดที่ผุ้ใช้นิยมมากที่สุด เพราะไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่ใส่เกียร์ และเหยียบคันเร่งขับออกไปเท่านั้น นอกนั้นระบบก็จะคำนวนให้เอง
E-MODE ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยสามารถใช้ความเร็วสูงสุดได้ถึง 120 กม./ชม. และในขณะที่แบตเตอรี่เต็ม 100% จะสามารถใช้งานได้ระยะทางประมาณ 30-33 กิโลเมตร ซึ่งสามารถใช้แบตเตอรี่ได้เกือบหมดจนเหลือ 10% ระบบก็จะปรับเป็นโหมด HYBRID ให้เอง
CHARGE จะเป็นการใช้เครื่องยนต์เป็นหลัก เพื่อเอากำลังจากเครื่องยนต์ส่งมาชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งการขับและชาร์จไปด้วยนั้น จาก 10%-100% นั้น จะต้องใช้ระยะทางกว่า70 กม.เลยทีเดียว เมื่อชาร์จไฟเต็มแล้ว ระบบจะเปลี่ยนโหมดมาเป็น E-SAVE
E-SAVE โหมดนี้จะทำงานด้วยเครื่องยนต์เท่านั้น เพื่อรักษาปริมาณของแบตเตอรี่ไว้ใช้ในสถานที่ หรือถนนที่ต้องการเช่น ในเมืองที่จราจรติดขัด หรือในหมู่บ้าน เป็นต้น
ซึ่งการทดสอบ Mercedes-Benz E 350 e ในครั้งนี้ มีการแข่งขันขับแบบประหยัดน้ำมัน บนเส้นทางหลวงหมายเลข 44 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ถนนสายเซาท์เทริ์น”ให้ได้ร่วมสนุกกันด้วย ซึ่งก่อนการแข่งขัน ระยะทางประมาณ 130 กม.จากชุมพร มายังจุดสตาร์ทบริเวณปากทางเข้าถนนหลวงหมายเลข 44 ในช่วงนี้ได้มีการซ้อมพิสูจน์ตัวเลขความประหยัดโดยการใช้งานจาก E-MODE ด้วยความเร็วประมาณ 90 กม./ชม จากปริมาณแบตเตอรี่ 100% ระยะทางที่ทำได้ ในการใช้งานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว สามารถทำได้ใกล้เคียงกับที่ผู้ผลิตเคลมไว้คือระยะทาง 30 กม.
หน้าจอที่แสดงตัวเลขอัตราการกินน้ำมัน อยู่ที่ 2.9 ลิตร/ ระยะทาง 100 กม.หรือประมาณ 34.5 กม./ลิตร ด้วยระยะทางประมาณ 50-60 กม.ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับที่เคลมไว้ และคาดการณ์ได้ว่าน่าจะสามารถทำได้ หากมีการคำนวนการขับขี่ที่ดี และไม่มีปัจจัยอื่น เช่นสภาพอากาศ และสภาพถนนมาเป็นตัวแปร จากนั้นจึงเปลี่ยนมายังโหมด CHARGE เพื่อที่ก่อนการแข่งขันจริง เราจะได้มีปริมาณแบตเตอรี่ที่เต็ม 100%
ที่จุดสตาร์ทบริเวณปั้มน้ำมันฝั่งตรงข้ามปากทางเข้าทางหลวงหมายเลข 44 มีกติกาอยู่ว่า ระยะทางที่จะใช้ในการแข่งขันอยู่ที่ประมาณ 106 กม. และมีเวลาให้ 60 นาที ซึ่งถือว่าเป็นกติการที่ค่อนข้างโหดเลยทีเดียว เพราะจากที่คำนวนแล้วต้องใช้ความเร็วเฉลี่ย 106 กม./ชม.เลยทีเดียว ย้ำอีกรอบว่า ”ความเร็วเฉลี่ย” นะครับ ซึ่งเราต้องขับขี่บนสภาพเส้นทางปกติ ที่มีพายุฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ทำให้ทัศนวิสัยไม่เอื้ออำนวยต่อการแข่งขันสักเท่าไหร่ แต่เมื่อขึ้นเวทีแล้ว ยังไงก็ต้องทำให้ดีที่สุด
เอาเข้าจริงความเร็วเฉลี่ย 106 กม./ชม.ที่ว่า ใช่ว่าเราจะขับแค่ 106 กม./ชม.เป็นอันจบเมื่อนำระยะทางมาคำนวณกับเวลาที่ใช้แข่งขัน จะต้องขับที่ความเร็วประมาณ 120-140 กม./ชม. เราไม่สามารถใช้ความเร็วที่ 106 กม./ชม.ได้ตลอดเพื่อให้ถึงเส้นชัยในเวลาที่กำหนด และด้วยสภาพอากาศที่ไม่อำนวย ทัศนวิสัยในการขับขี่ มีไม่ถึง 10-20 เมตรการแข่งประหยัดในครั้งนี้เป็นอะไรที่เครียดสุดๆครับ ไม่ใช่แค่คนขับเท่านั้น แต่ทุกคนในรถ ต้องช่วยกันคำนวนระยะทาง และความเร็วที่จะต้องใช้ พร้อมทั้งต้องคำนวนการใช้เครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสมอีกด้วย
ผลที่ออกมาหลังจากจบการแข่งขัน เวลาที่ทำได้ในครั้งนี้เมื่อถึงจุดสิ้นสุดคือ 58 นาที ในระยะทาง 99 กม.ด้วยความเร็วเฉลี่ย 102 กม./ชม. ใช้เชื้อเพลิงเฉลี่ย 7.8 ลิตร / 100 กม. เท่ากับได้ค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลืองอยู่ที่ 12.8 กม./ลิตร ซึ่งนั่นตรงตามกติกาที่แจ้งไว้ทั้งหมด
ถึงช่วงการประกาศผล คันที่เราขับ กลับกลายเป็นว่าได้อันดับสุดท้ายในรุ่น(E350e) โดยที่กรรมการมองแค่อัตราการกินน้ำมันที่น้อยที่สุดเป็นหลักเท่านั้น(ตามภาพ) ไม่ได้เอาเวลาที่กำหนดตั้งแต่ต้น มาเป็นตัวตัดสินด้วยแต่อย่างใด ซึ่งหากนำเวลามาตัดสินด้วยนั้น จะมีแค่สองคันเท่านั้นที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขัน และนั่นทำให้เราตกอยู่อันดับสุดท้ายไปโดยปริยาย ซึ่งเวลาที่ต่างกัน และระยะทางที่ต่างกัน ล้วนแล้วแต่มีผลต่ออัตราการกินน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งสิ้น
ด้วยตัวเลขอัตราการกินน้ำมันดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงการใช้งานจริงได้ไม่มากก็น้อยครับ ขึ้นอยู่ที่ว่า คุณจะขับ Mercedes-Benz E 350 e อยู่ในเส้นทางและสภานการณ์แบบใด เอาเข้าจริงหากใช้ในเมืองเป็นหลัก ในระยะทางใช้งานไม่เกิน 30กม.และสามารถเสียบชาร์จไฟได้ทั้งขาไป และขากลับ คุณก็แทบไม่ต้องใช้นำ้มันเลยแม้แต่หยดเดียว อย่างนี้ไม่เรียกกว่าประหยัด ก็คงมิได้แล้วครับ